วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่ง



      เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่ง

 

การจะปลูกต้นไม้เพื่อเก็บเกี่ยวดอกผล เราจำเป็นต้องมีเมล็ดพันธุ์ ซึ่งหากเปรียบก็คือเงินทุนก้อนแรก หลายคนมีความฝันอยากทำธุรกิจส่วนตัว หรือ เป็นนักลงทุน แต่ไม่มีทุน  ปัญหาอยู่ที่ว่าอาชีพที่ทำนั้นเป็นอาชีพที่ไม่ทำเงิน ซึ่งส่วนใหญ่ จบอะไรมาก็จะทำตามที่เรียนมา  คำถามคือ จำเป็นไหมต้องทำงานสายที่ตัวเองจบมา   ส่วนตัวผมว่าไม่จำเป็นครับ เพราะหากสายที่ตัวเองจบมารายได้น้อย    ก็ยากที่เราจะมีเงินออมไปลงทุนได้ครับ  เพราะ สิ่งที่สำคัญคือ เงินทุนและความรู้ความชำนาญ ในธุรกิจ ที่เราจะทำครับ ส่วนขนาดของเงินทุน ก็แล้วแต่ ลักษณะของธุรกิจ หรือ ความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องใช้ซึ่งจะไม่ขอ เอ่ยถึงนะครับ  เพราะมันกว้างมาก     แต่ ที่แน่นอน นะครับ  ผมคิดว่าการ มีเงินทุนเพื่อไปลงทุนในสิ่งที่เรารักนั้น ควร เริ่ม จาก งานที่สามารถทำเงินได้มาก ครับ แต่ หลายคนติดข้อจำกัดที่ว่า งานที่ได้เงินมากนั้น ส่วนใหญ่เป็นงาน ที่ไม่แน่นอน หรือ อายุงานสั้น  ใช่ครับ แต่เราไม่ได้กะจะทำไป ตลอดนี่ครับ เราเพียงต้องการสะสมเงินทุนให้ได้ในระดับ ที่เราสามารถนำไปต่อเงินได้   หากพ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยประทานทุน มาให้เลย จบ ใหม่ เงินเดือน start ก็ 1.5-3 หมืนครับ วุฒิ ป. ตรีนะครับ ซึ่ง ค่าครองชีพ สมัยนี้สูง แถมมีภาษีสังคมอีก  ดังนั้น หากจบมาแล้ว มีโอกาส ทำสายอาชีพ ที่รายได้สูง ก็แนะนำให้ทำครับ(ไม่สนับสนุนให้ทำงานผิดกฎหมายแม้รายได้จะมากนะครับ) แต่ เราจะทำอย่างมีเป้าหมาย โดย ไม่ทำเพื่อไปซื้อ ของฟุ่มเฟือยหรือ หนี้สินนะครับ เราจะเก็บเงินซื้อ Asset ทรัพย์สิน หรือสร้างธุรกิจครับ ทำให้เราหาได้เราจะประหยัดและคุมค่าใช้จ่าย ครับ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องมีวินัยในการ ออมเงินครับ

 ส่วน  อาชืพ  ที่ผมเห็นว่า ทำเงินได้เยอะ ขอ ยกตัวอย่างนะครับ  เท่าที่ ทราบนะครับ สจ๊วตและแอร์  นายหน้าอสังหาริมทรัพย์  Bartender โรงแรม  ล่ามแปลเอกสาร  นักร้อง นักดนตรี ศิลปิน อาจารย์ สอนดนตรี  สอนกีฬา นักบิน ขายตรงต่างๆ  ขายประกัน   รับจ้างแต่งสวน   อื่นๆอีกมากมาย  ซึ่ง อาชีพ ที่กล่าว ถึงไม่คำนึงถึง วุฒิ ที่เราจบมาครับ  เปิดกว้างให้ใครก็ได้มีสิทธิ์ทำ และรายได้ไม่น้อยกว่า 4-5 หมื่นเดือนครับ และหากเราประหยัดก็น่าเหลือเก็บ 2-3 หมื่นต่อเดือน ก็น่าจะหาเงิน  1 ล้านบาท ได้ภายใน 4 ปีครับ หากตั้งใจจริง ซึ่งอย่างน้อยน่าจะเพียงพอทำธุรกิจขนาดเล็กหรือลงทุนในหุ้นได้อย่างเห็นผลบ้างครับ  อีกอย่างของพวกนี้ฝึกกันได้ โดยเรา เลือกทำในสิ่งที่เราถนัดครับ จะทำให้เรามีความได้เปรียบคนอื่น  ซึ่งเราต้องลงทุนในการพัฒนาทักษะสำหรับอาชีพที่เราจะทำสัก  2-3 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ระหว่างศึกษา ปริญญาตรี อยู่คือ ฝึก Skills พวกนี้ครับ เอาให้ระดับพอหาเงินได้ก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นระดับเทพ  แต่เราต้องแลกกับเวลาไปสนุกกับเพื่อนๆนะครับ ต้องบริหารจัดการเอง หรือ หากเป็นคนทำงาน ก็เวลาส่วนตัวครับ  เพราะหากเราจบมาทำงานประจำเพราะบางคนมีค่าใช้จ่ายบังคับ ไม่สามารถทำงานเหล่านี้เต็มเวลาได้     ก็ทำงานที่กล่าว นี้เสริมได้ เสาร์ หรือ อาทิตย์ ครับ เราก็ค่อยสะสมเงินทุนไป  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ระหว่างสะสมทุน เราก็อ่านหนังสือหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่เราจะทำหรือถ้าอยากเป็นนักลงทุน ก็อ่านตำราการลงทุนแนวพื้นฐาน แต่จะเหนื่อยหน่อย เพราะทำหลายอย่างพร้อมกันแต่จำเป็นเพราะมันอยู่กับเราตลอดชีวิตครับ  พอเรามีเงินทุนพอ เราก็มีความรู้พอดี ครับ เรากำลังจะย้ายจากฝั่ง ซ้าย ของเงิน 4 ด้านไปยังฝั่งขวา  ตามที่ Robert ผู้เขียน Rich Dad Poor Dad กล่าวไว้ครับ การย้ายนั้นต้องมีทักษะและความรู้ครับ เงินเป็นแค่ เมล็ดพันธ์และปัจจัย 1 เท่านั้นเพราะ ตรรกะของ ขวา กับ ซ้าย ต่างกันมากครับ ตัวอย่าง ด้านขวา ต้องเรียนรู้ตลอดเวลาในขณะที่กล้าลงทุนโดยการบริหารความเสี่ยง ขณะคนฝั่งซ้ายนั้น มีแต่ความกลัวเป็นหลักครับ


จาก E คือ ลูกจ้าง สามารถข้ามไป B หรือ I ครับ เพราะสามารถทำงานประจำไปควบคู่เริ่มธุรกิจเล็กๆ หรือ ลงทุน ไปได้ เมื่อรายได้จาก ธุรกิจ หรือ เงินปันผล เทียบเท่ารายได้จากเงินเดือนและมากกว่ารายจ่ายประจำก็สามารถ ออกมาทำเต็มเวลาได้ครับ สำหรับคนที่อยากเล่นหุ้นเป็นอาชีพแนะนำ ว่าสามารถหารายได้พิเศษควบคู่การเล่นหุ้นไปได้ครับ รายได้ 2 ทางหรือหลายทางย่อมปลอดภัยกว่าทางเดียวครับ สุภาษิตจีนเรียกว่า  “เก้าอี้ 3 ขา”  ท้ายสุด ครับสำหรับ ผู้ที่สนใจเพิ่มเติม ลองหา พ่อรวยสอนลูกเล่ม 2 มาอ่านเรื่อง เงิน 4 ด้านครับ